ในชุมชนอีสานแบบดั่งเดิม ชาวบ้านทอผ้าใช้เองเป็นการผลิตแบบครบวงจรซึ่งผลิตควบคู่ไปกับการประกอบอาชีพหลัก คือการทำนาทำไร่ โดยอาศัยแรงงานในครัวด้วยฟืนเล็ก ๆ ผูกด้วยเส้นยืนกับต้นไม้หรือเสาเรือนมาเป็นกี่ทอผ้า
กี่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทอผ้าผืนมีสองชนิดคือ กี่ตั้ง และกี่กระตุก กี่ตั้งเป็นโครงสร้างใม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าประกอบด้วยแม่กี่ คาน ขื่อกระดานกี่ และไม้กำพั่น
แม่กี่ คือโครงสี่เหลี่ยมที่รับน้ำหนักหุกด้านล่างประกอบด้วยไม้เนื่อแข็งสี่ชิ้นตีประกบหรือเข้าประกับเป็นโครงสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 2.50 เมตร ขนาดยาว 3 เมตร
เสากี่ เป็นเสากี่ต้นเชื่อมรับโครงสี่เหลี่ยมด้านล่างที่เรียกว่าแม่กี่และโครงสี่เหลี่ยมตอนบนคือขื่อคานทำจากไม้เนื้อแข็ง ขนาด4*4 คานและขื่อ เป็นโครงไม้สี่เหลี่ยมด้านบน คานด้านยาวขนาด 2.50-3.00 เมตร ส่วนขื่อด้านกว้างขนาด 2.50 ม. ทำหน้าที่รับน้ำหนักหูกทอผ้าด้วยเชื่อกโยง
กระดานกี่ เป็นแผ่นไม้ที่ตียึดกับต้นเสาสำหรับนั่งทอผ้า และวางเครื่องมือเครื่องใช้ ทำจากไม้เนื้อแข็งขนาด 11.5*8 ไม้กำพั่น เป็นไม้ขนาดยาว 2.50 เมตร วางบนหลักหัวข่าสำหรับขึงด้ายหรือเส้นไหมเส้นยืนเพื่อทอประสานกับเส้นพุ่ง ส่วนกี่กระตุกเป็นกี่ทอผ้าแบบใหม่ที่ทำให้ทอผ้าได้รวดเร็วขึ้นแม้จะขาดความประณีตไป
การทอผ้าเพื่อใช้ในครอบครัวนั้นเป็นหน้าที่ของผู้หญิงคือ แม่และลูกสาว ผ้าที่ทอได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด ผ้าเหล่านี้มีประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายคือ นำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า เป็นผ้าซิ่น เป็นโสร่ง เป็นผ้าเบี่ยง เป็นผ้าขาวม้า เป็นผ้าห่มและเป็นปลอกหมอน เป็นต้น การทอผ้าที่ถือว่าผู้ทอมีความสามารถมีผีมือคือผ้าไหม ผ้ามัดหมี่และผ้าขิด แหล่งทอผ้าไหมที่มีชื่อเสียงได้แก่ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น สกลนคร ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี สุรินทร์ และอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น ผ้าทออีสานสามารถแบ่งได้หลายประเภทหากแบ่งตามวัตถุดิบที่ใช้ทอได้แก่ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าใยสังเคราะห์ หากแบ่งตามเทคนิควิธีการทอและลวดลายต่าง ๆ ได้แก่ ผ้าขิด ผ้าแพรวา ผ้าหางกระรอก ผ้ามัดหมี่ ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า เป็นต้น

หน้าต่อไป