แคน
เมน
         การประกอบส่วนต่าง ๆ ให้เป็นแคน เริ่มจากเมื่อเตรียมลูกแคนและเต้าแคนเรียบร้อยแล้วนำลูกแคนทั้งหมดสอดเข้าไปในเต้าแคนตามลำดับเป็นคู่กัน
              คู่ที่หนึ่ง ด้านซ้ายเรียกว่า โป้ซ้าย ด้านขวา เรียกว่า โป้ขวา
              คู่ที่สอง ด้านซ้ายเรียกว่า แม่เวียงใหญ่ ด้านขวา เรียกว่า แม่เซ
              คู่ที่สาม ด้านซ้ายเรียกว่า แม่แก่ ด้านขวา เรียกว่า สะแนน
              คู่ที่สี่ ด้านซ้ายเรียกว่า แม่ก้อยขวา ด้านขวาเรียกว่า ฮับทุ่ง
              คู่ที่ห้า ด้านซ้ายเรียกว่า แม่ก้อยซ้าย ด้านขวาเรียกว่า ลูกเวียง
              คู่ที่หก ด้านซ้ายเรียกว่าสะแนนน้อย ด้านขวาเรียกว่า แก่นน้อย
              คู่ที่เจ็ด ด้านซ้ายเรียกว่า เสพซ้าย ด้านขวาเรียกว่า เสพขวา

ประเภทของแคน
        การแบ่งประเภทของแคนอาจแบ่งตามขนาดหรือแบ่งตามลักษณะการบรรเลงก็ได้ การแบ่งตามขนาด แบ่งเป็น 4 ชนิดคือ
              1. แคนหา คือแคนที่จำนวนลูกแคนหรือไม้กู่แคนมีสามคู่หกลำ เป็นแคนสำหรับเด็กเป่าเล่น เป่าได้เฉพาะเพลงง่าย ๆ เพลงยากที่มีเสียงสูงต่ำหลายเสียงไม่สามารถเป่าได้เพราะลูกแคนมีเพียงหกลูก มีระดับเสียงสูง-ต่ำไม่ครบตามที่ต้องการ
               2. แคนเจ็ด คือแคนที่ประกอบด้วยไม้กู่แคนหรือลูกแคนเจ็ดคุ่หรือสิบสี่ลำมีเสียง 14 เสียง
               3. แคนแปด คือแคนที่ประกอบด้วยไม้กู่แคนแปดคู่หรือสิบหกลำมีเสียง 16 เสียง ใช้เป็นแคนเดี่ยวสำหรับเป่าประสานเสียงคลอไปกับการลำ
               4. แคนเก้า คือแคนที่ประกอบด้วยไม้กู่แคนเก้าคู่หรือสิบแปดลำ มีเสียงทั้งหมดแปดเสียง เป็นเสียงใหญ่ทุ้มต่ำใช้ประกอบการลำ
         การบรรเลงแคนปัจจุบันมี 3 ลักษณะ ได้แก่
               1. แคนเดี่ยว ประเภทแคนวงและประเภทแคนวงประยุกต์ แคนเดี่ยวใช้บรรเลงประกอบการลำซิ่ง หมอลำแบบดั้งเดิมใช้เสียงแคนเท่านั้นเป่าประสานการร้องหมอลำจะใช้แคนขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ก็ได้ ส่วนการบรรเลงแคนวงเป็นการบรรเลงหลายเต้าพร้อมกันเป่าผสมกับเครื่องจังหวะเช่น กลอง ฉิ่ง ฉาบ จะใช้แคนขนาดใดก็ได้จำนวน 6-12 เต้า ส่วนการบรรเลงแคนวงประยุกต์ เป็นการบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีสากล หรือบางครั้งก็นำเอาดนตรีไทยเข้ามาประกอบ การบรรเลงชนิดนี้ประกอบการร้องเพลงไทยสากลและเพลงลูกทุ่งมีหางเครื่องเต้นโชว์ประกอบการแสดงหมอลำหมู่และหมอลำซิ่ง

ก่อนหน้านี้         หน้าต่อไป

แหล่งข้อมูล
ศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร

สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม